OS X Tips

Tip & Tricks ในการใช้งาน OS X 

Thai-Eng Dictionary บน OS X #2

เป็น Thai-Eng dictionary อีกตัวนึงที่คุณ iolimit
นำมาแนะนำในห้องสนทนาครับ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่นี่ครับ
http://macmuemai.com/forum/topic/345

Thai-Eng Ditionary บน OS X

วันนี้จะลองเขียนแนะนำเกี่ยวกับการใช้งาน Thai-Dictionary บน OS X ครับ (บทความนี้อ้างอิงจากการใช้งานได้บน OS X 10.5.5)

ทั่วไปการใช้งาน Thai-Eng Dictionary บน OS X มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ

  1. โปรแกรมติดตั้งในเครื่องแบบ Stand Alone
  2. โปรแกรม Widget ที่ใช้งานร่วมกับการค้นหาจากในเวป
  3. ค้นหาจากหน้าเวปโดยตรง

โปรแกรมติดตั้งภายในเครื่อง

เป็น Dictionary ที่ทำงานแบบโปรแกรมเดี่ยว ๆ โดยไม่จำเป็นต้องต่อ Internet เพื่อดึงข้อมูลมาเป็นผลการค้นหา

  • ข้อดี : การติดตั้งโปรแกรมลงบนเครื่องแบบนี้มีข้อดีคือเราไม่จำเป็นที่จะต้องต่อ internet ตลอดเวลา สามารถใช้งานเมื่อไหร่ก็ได้ หรือใช้งานในสถานที่ ๆ ไม่มี Internet ได้
  • ข้อด้อย : การอัพเดทคำต่าง ๆ ไม่รวดเร็วเหมือนโปรแกรมที่ผูกกับหน้าเวป

เท่าที่ผมลองหาดูคร่าว ๆ เห็นมีของ Infinisoft Technology (มีให้โหลดจากหน้าเวปของ apple.com ในส่วนของ download ด้วย)ที่สามารถทำงานร่วมกับ shortcut ในการเรียก dictionary ปรกติภายในเครื่องได้ (กด Ctrl+Command+D) ตามภาพด้านล่างนี้

thai-dict_0.jpg

สามารถ download ได้จาก

http://www.infinisoft.co.th/mac-thai-dict
หรือ
http://www.apple.com/downloads/macosx/productivity_tools/thaidictionary.html

วิธีการติดตั้ง

  • Download โปรแกรมจาก Link ด้านบน (อันใดอันหนึ่ง) จากนั้นพอ Download เสร็จ ระบบน่าจะทำการเตรียม Install ให้โดยอัตโนมัติ
  • ถ้าเครื่องไม่ทำการเตรียมติดตั้งให้เองหลังจากที่ download มาไว้บนเครื่องแล้ว ให้เราดับเบิลคลิ๊กที่ไฟล์ mac-thai-dict-1.0.pkg ตรง ๆ เลย เพื่อเรียกตัวช่วยติดตั้ง (installer) ขึ้นมา
  • การติดตั้งจะเป็นเหมือน install โปรแกรมผ่าน installer ทั่วไป ให้กดผ่านไปเรื่อย ๆ และใส่ user + password เพื่อยืนยันการติดตั้ง
  • หลังจากติดตั้งเสร็จแล้ว เราสามารถเรียกใช้โปรแกรมได้เลยโดยการ hi-light ที่ตัวหนังสือ แล้วกด Ctrl+Command+D เพื่อเรียกใช้ Dictionary ปรกติ แต่จะเห็นตัวเลือกเป็นคำไทยขึ้นมาแล้ว (ตรงนี้แอบชอบครับ สะดวกสุด ๆ - ก๊อก)
  • ดูการปรับผลการค้นหาในขั้นตอนต่อไปประกอบ

วิธีปรับให้ผลการค้นหาจาก Thai-Dict เป็นลำดับแรก

1.เปิดโปรแกรม Dictionary ของเครื่องเราขึ้นมา (Application/Dictionary.app)
2.ไปที่ Preference แล้วเลือกรายการ Dict ไทย อังกฤษ ที่เราเพิ่งติดตั้งเอาไว้ในเครื่อง(น่าจะอยู่รายการล่างสุด) ให้ลากมาไว้เป็นรายการแรก ตามภาพนี้ครับ

order-list_0.jpg

จากนั้น พอเราเข้าโปรแกรม Dictionary ครั้งต่อไป ผลการค้นหาที่ได้จะแสดงจาก Thai-Dict ของเราก่อนเป็นลำดับแรกแล้วครับ
order-list-2_0.jpg

note : ผมค่อนข้างจะชอบที่สามารถใช้ shortcut ร่วมกับ Dictionary (Ctrl+Command+D) ที่มีอยู่ในบน OS X ได้เป็นพิเศษครับ เพราะตามปรกติ เราสามารถที่จะใช้คำสั่งนี้ได้บนเกือบทุก app ใน OS X สำหรับ Dictionary ภาษาอังกฤษเดิมนะครับ พอตอนนี้สามารถแปลเป็นภาษาไทยได้ด้วย ยิ่งทำให้ใช้งานสะดวกขึ้นไปใหญ่เลย =)

แบบ Dashboard Widget เพื่อใช่ร่วมกับผลการค้นหาจากในเวป

เป็นกึ่ง ๆ app ในเครื่องในรูปแบบ Dashboard Widget ครับคือเราจะกรอกคำค้นลงใน widget แล้วผลลัพท์ที่ได้จะมาจากหน้าเวป

  • ข้อดี : เพราะผูกการทำงานกับฐานข้อมูลจากเวป ทำให้ได้ผลการค้นหาที่ค่อนข้างจะครอบคลุมเพียงพอ และข้อมูลที่มักจะอัพเดทกว่า Dictionary แบบ โปรแกรมที่ติดตั้งลงบนเครื่องครับ
  • ข้อด้อย : ใช้ได้เฉพาะตอนทีี่ต่อ Internet อยู่เท่านั้น ทำให้ใช้งานในบางสถานที่ ที่ไม่มี Internet ไม่ได้

จาก http://dict.longdo.com/ ทำออกมาในรูปแบบของ Dashboard Widget ครับ หลักการคือ เหมือน widget ทั่วไป ที่เรากรอกคำค้นหา แล้วจะได้ผลลัพท์ผ่านหน้าเวปของ Longdo อีกที (มีบริการ Dictionary สำหรับ platform อื่น ๆ อีกนอกจากบน OS X ด้วยนะครับ เช่น Vista Gadget, IE Toolbar... ฯลฯ )

longdo-wid-5_0.jpg

สามารถ download พร้อมดูวิธีการติดตั้งได้จาก
http://dict.longdo.com/?page=widget

note : เท่าที่ผมลองใช้ดู ให้ผลการค้นหาที่ค่อนข้างจะละเอียดและรวดเร็วดีนะครับ จนบางทีก็ลืมไปว่านี่เป็นการทำงานผ่าน internet (หน้าเวปของ longdo โหลดเร็วมาก)

ใช้งาน Eng-Thai Dictionary จากหน้าเวปโดยตรง

http://lexitron.nectec.or.th/index1.php
ของ Nextec ผมว่าใช้ง่ายดี ผลการค้นหาดูไม่รก แต่บางทีก็จะหาบางคำไม่ค่อยเจอ

http://dict.longdo.com/
อันนี้ของ Longdo เป็นที่เดียวกับที่แจก widget ในด้านบนครับ เท่าที่ลองดูได้ผลการค้นหาที่ละเอียดยิบ และหน้าเวปโหลดค่อนข้างจะเร็ว

หมดแล้วครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย

ใครมีโปรแกรมที่เคยใช้อยู่อยากจะแนะนำก็โพสใน Comment ได้เลยนะครับ =)

การ copy ไฟล์ครั้งละมาก ๆ (หลักหมื่น หรือว่าเป็นแสน ๆ ไฟล์) ด้วย rsync ครับ

จากกระทู้ การ copy ไฟล์ครั้งละเยอะ ๆ (100,000 ไฟล์) และได้คุณ homoglobin มาโพสแนะนำเพิ่มเติมเอาไว้บน freemac.net เกี่ยวกับการใช้งานคำสั่ง rsync ผ่าน terminal เพื่อทำการ copy ไฟล์

ผมเลยลองทำตามดู และคิดว่าน่าจะดีถ้าเขียนเป็น how-to เก็บเอาไว้ สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ที่อาจจะไม่คุ้นกับการใช้งานคำสั่งผ่าน terminal ให้เห็นภาพทำตามได้ง่าย ๆ โดยเน้นบนพื้นฐานของผู้ใช้งานทั่วไปแบบบ้าน ๆ เป็นหลักครับ

note : จากการทดสอบสำหรับย้ายไฟล์ 38,000 กว่าไฟล์จาก hd ภายในเครื่องของผมเองไปยัง external hd ที่ต่อผ่าน firewire400 ใช้เวลาประมาณ 4 นาทีตั้งแต่เริ่มกระบวนการจนเสร็จสิ้นครับ ..

วิธีการ copy ไฟล์ผ่านคำสั่ง rsync บน terminal ครับ

ขั้นตอนที่ 1: กำหนดเป้าหมาย และปลายทางที่เราต้องการ

บน finder ให้เปิดเอาไว้ 2 หน้าต่างดังนี้ครับ

  1. หน้าต่างแรก เปิด folder ต้นทางที่เราต้องการจะ copy ไฟล์ข้างในนั้นทั้งหมดรอเอาไว้
  2. หน้าต่างที่สอง สร้าง folder ปลายทางที่เราต้องการ

ขั้นตอนที่ 2 : เปิด terminal.app ขึ้นมา โดยจะเรียกจากใน applications folder/ utilities หรือผ่าน spotlight แล้วพิมพ์ terminal ก็ได้ เราจะเห็นหน้าต่างเปล่า ๆ ของ terminal แบบนี้ครับ

rsync-01.png
ขั้นตอนที่ 3 : พิมพ์คำสั่ง rsync ลงใน terminal

คำสั่ง resync มีรูปแบบการใช้งานคร่าว ๆ ประมาณนี้ครับ

rsync -av [path ของ folder ต้นทาง] [path ของ folder ปลายทาง]

** คำสั่ง rsync, -av, folder ต้นทาง และ folder ปลายทาง มีเว้นวรรคคั่นอยู่นะครับ ...
อย่างในกรณีของผม เป็นแบบนี้

rsync -av /apache2/htdocs/folder ต้นทาง /Volumes/MyBook-Mac/folder ปลายทาง

โดยที่ [path ของ folder ต้นทาง] = /apache2/htdocs/folder ต้นทาง
และ [path ของ folder ปลายทาง]= /Volumes/MyBook-Mac/folder ปลายทาง

ทีนี้ สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ที่ไม่ทราบว่าจะพิมพ์ path ของ folder ต้นทางกับ path ของ folder ปลายทางอย่างไรดีบน terminal ให้ทำแบบนี้ครับ

rsync-02.jpg

จาก finder ที่เราเปิดทิ้งเอาไว้ ให้ลองลาก folder ที่เราต้องการลงในบรรทัดของ terminal ดู เราจะเห็นว่า เค้าจะขึ้น path ของ folder นั้น ๆ ให้ แบบนี้ครับ

rsync-03.jpg

ที่เราต้องทำคือ พิมพ์คำสั่งว่า rsync -av ทิ้งเอาไว้บน terminal แล้วลาก folder ต้นทาง และ ปลายทาง จากบน finder มาลงใน terminal เพื่อให้คำสั่งสมบูรณ์

เมื่อได้ path ต้นทาง กับปลายทางลงในคำสั่ง rsync โดยสมบูรณ์แล้ว ให้กด enter ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เราจะเห็นว่าเขาเริ่มทำงานย้ายไฟล์ให้เราครับ

โดยไฟล์ที่มีปัญหา จะถูกแสดงขึ้นมาก่อนพร้อมด้วยระบุว่าทำไมถึงย้ายไม่ได้ให้เราทราบด้วย หลังจากนั้นก็จะเริ่มการย้ายไฟล์ตามปรกติทั่วไป เราจะเห็นหน้าต่าง terminal แสดงไฟล์ที่ถูกย้ายไล่ลงมาเรื่อย ๆ และเมื่อเสร็จกระบวนการแล้ว เขาจะแจ้งเรามาแบบนี้ครับ

rsync-04.jpg

หมดแล้วครับ ลองนำไปใช้งานกันดู หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ =)

การตั้งชื่อไฟล์ : เรื่องง่าย ๆ ที่หลายคนมองข้าม

มีเรื่องนึงที่ผมติดอยู่ในการทำงานแต่ก่อนของผมเสมอครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการตั้งชื่อไฟล์

เรื่องนี้ใหญ่กว่าที่คิด เพราะว่าถ้าเราตั้งชื่อไฟล์แบบตามใจฉันแล้ว .. เรามีโอกาสเจอเรื่องราวดี ๆ ได้แบบนี้ครับ

  • ใช้ไฟล์งานกับโปรแกรมที่ใช้อยู่ไม่ได้
  • ใช้ไฟล์งานกับโปรแกรมเดียวกัน แต่คนละเวอร์ชั่นไม่ได้
  • หรือเวลาส่งไฟล์งานไปให้คนแผนกอื่นที่เกี่ยวข้อง แต่ไฟล์มีปัญหา
  • ฯลฯ

เรื่องราววุ่นวายอีกเยอะที่จะตามมาเพราะการตั้งชื่อไฟล์ตามใจฉันครับ ... ผมเลยอยากจะแนะนำการตั้งชื่อไฟล์ที่ทำให้มีปัญหาน้อยที่สุดมาให้ลองนำไปใช้กันดูนะครับ

1.หลีกเลี่ยงการตั้งชื่อไฟล์เป็นภาษาไทย ... ควรจะตั้งชื่อไฟล์เป็นภาษาอังกฤษ

ภาษาไทยเป็นปัญหาใหญ่อันดับต้น ๆ ในระบบดิจิตอลเลยครับ.. เรื่องนี้บางคนไม่ทราบ หรือว่าเห็นว่าโปรแกรมเกือบทั้งหมดบน windows สามารถรองรับภาษาไทยได้ แต่ความเป็นจริงก็คือ ภาษาไทยในระบบคอมพิวเตอร์เป็นอักษขระที่ซับซ้อนกว่าภาษาอังกฤษเยอะมาก .. และจะหวังให้ผู้พัฒนาโปรแกรมส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดที่เป็นชาวต่างชาติมาทำความเข้าใจกับภาษาหลักของบ้านเรา คงเป็นเรื่องที่ยากเข้าไปใหญ่ กอปรกับภาษาไทยในระบบดิจิตอลเอง ยังไม่มีมาตรฐานหรือองค์กรที่รับผิดชอบตรงนี้อย่างจริงจัง ตามที่ผมเข้าใจ.. เลยทำให้เวลาผู้พัฒนาโปรแกรมต้องการข้อมูลประกอบสำหรับอ้างอิง จึงเป็นเรื่องที่ลำบาก เวลาปัญหาเกิดขึ้นที ก็ต้องหาทางเดาหรือว่าแก้กันเองในหมู่ผู้ใช้

เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนมากกับโปรแกรมพิมพ์และภาษาไทย ที่ไม่ค่อยจะคงเส้นคงวาในเรื่องของ font และอะไรต่าง ๆ

การตั้งชื่อไฟล์ภาษาไทย ถ้าโชคดี คุณจะยังใช้งานได้อยู่ แต่อาจจะมีปัญหาเมื่อเปลี่ยนเวอร์ชั่นของโปรแกรม หรือระบบ OS ที่มักจะมีการปรับปรุงในเรื่องของ font และการทำงานเกี่ยวกับ font อยู่ตลอดเวลาครับ...

การตั้งชื่อไฟล์เป็นภาษาอังกฤษ จึงสามารถแก้ไขข้อจำกัดตรงนี้ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้คำเริศหรู เอาคำบ้าน ๆ ที่ตั้งแล้วตัวเองเข้าใจก็พอครับ

2.หลีกเลี่ยงการเว้นวรรคในชื่อไฟล์

ตรงนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ การเว้นวรรคทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้คือโปรแกรมไม่อ่านไฟล์นั้น ๆ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นเฉพาะกับชื่อไฟล์ภาษาไทยเท่านั้น สามารถเกิดได้กับชื่อไฟล์ที่เป็นภาษาอังกฤษได้ด้วย

ถ้าต้องการวรรคตอนจริง ๆ สำหรับชื่อไฟล์หลายพยางค์ ควรจะใช้เครื่องหมายขีดกลาง (-) หรือขีดล่าง (_) มาเป็นตัวแบ่งพยางค์แทนครับ เช่น

my-room-1.jpg
wall-map_1.jpg
wall-map_2.jpg...

3.หลีกเลี่ยงชื่อไฟล์แบบ default ที่โปแกรมตั้งมาให้ตอน save ... เราควรจะใช้คำที่สื่อความหมายที่ตัวเราเองเข้าใจและตั้งเองมากกว่า

ส่วนใหญ่พวกโปรแกรมแต่งภาพหรือไฟล์ภาพจากอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ เช่นพวกกล้องดิจิตอล หรือว่าสแกนเนอร์ มักจะตั้งชื่อไฟล์มาให้เราเอง ซึ่งจะเป็นชื่อไฟล์ในแบบที่เครื่องอ่านเข้าใจ แต่คนอ่านไม่รู้เรื่อง เช่น R122003.jpg หรือ PIC00098.jpg อะไรทำนองนี้

เราควรจะตั้งใหม่ ให้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของไฟล์หรือภาพนั้น ๆ เพื่อที่ตัวเราเอง หรือแม้แต่ผู้ร่วมงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จะสามารถเข้าใจตัวไฟล์นั้นได้ โดยที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดไฟล์ขึ้นมาดู หรือรอรูปตรง preview ให้แสดงผลเสมอไป .. ช่วยให้การทำงานเร็วขึ้นได้ในระดับนึง

4.หลีกเลี่ยงชื่อไฟล์ที่ยาวเกินไป

การตั้งชื่อไฟล์ที่ดี ควรจะสั้นห้วน และได้ใจความครับ จริงอยู่ ว่าระบบ OS หรือว่าโปรแกรมรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันรองรับการทำงานกับชื่อไฟล์ยาว ๆ หลายตัวอักษรได้แล้ว

แต่ในเรื่องของการใช้งานจริง ถ้าชื่อไฟล์ยาว ๆ มีโอกาสที่ชื่อไฟล์จะแสดงเพียงบางส่วนครับ เช่น

my-material-of-the-stand......jpg

อะไรทำนองนี้.. งงกันไปใหญ่ หรือไม่ก็ต้องเสียเวลาดู preview หรือเปิดไฟล์นั้นขั้นมาดู

การตั้งชื่อไฟล์ที่ดี ควรจะทำให้เราเห็นและเข้าใจได้ในวินาทีนั้นเลยโดยที่ไม่ต้องเปิด หรือทำอะไรอย่างอื่นให้วุ่นวายจะดีที่สุดครับ


หลัก ๆ ที่ผมใช้อยู่เป็นประมาณนี้ .. ใครมี tip หรือวิธีการตั้งชื่อไฟล์ก็ลองมาแชร์กันนะครับ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ =)

มือใหม่ต้องเจอ : Capture หน้าจอยังไงเนี่ย???

ทำงานเพลินๆ อยาก Capture หน้าจอเก็บไว้ แต่มันทำยังไงหละเนี่ย ปุ่ม Print screen ไปไหนล่ะ

เวลาเราจะ Capture หน้าจอหรือทำ Screen shot บน Mac นั้น เราจะใช้คำสั่งเป็น Shortcut ดังนี้ครับ

โดย
1. Capture หน้าจอไปเป็น File ที่ Desktop โดยชื่อไฟล์จะเป็น Picture1 ไล่ไปเรื่อยๆ
2. Capture หน้าจอไปที่ Clipboard เอาไว้ใช้ใน Application ที่ต้องการ
3. Capture เฉพาะตรงส่วนที่เลือก ไปเป็น File ที่ Desktop โดยชื่อไฟล์จะเป็น Picture1 ไล่ไปเรื่อยๆ
4.Capture เฉพาะตรงส่วนที่เลือกไปที่ Clipboard เอาไว้ใช้ใน Application ที่ต้องการ
เท่านี้ครับ เราก็จะ Capture หน้าจอได้ดังใจแล้ว

ปล.ใครยังไม่เข้าใจสัญลักษณ์ต่างๆให้ไปอ่านได้ที่นี่ครับ
http://macmuemai.com/content/21

มือใหม่ต้องเจอ : กด Caps Lock เร็วฉันใด เปลี่ยนภาษาเร็วฉันนั้น

ครับ ตามหัวข้อเลย

กำลังพิมพ์มันๆเลยเปลี่ยนภาษาทีต้องกดสองปุ่ม ไม่เหมือน windows กด Grave ปุ่มเดี่ยวได้แล้ว
โอย Mac เจ้ากรรมแสนวุ่นวาย แท้จริงแล้ว การกดเปลี่ยนภาษาแบบนี้คือแบบที่ถูกต้องแล้วครับ
ที่เรากดๆกันเคยชินที่ Windows นั่นน่ะ ถ้าใครเคยลง Windows ใหม่เองจะรู้ว่า Default ที่ตั้งมามัน
ก็ต้องใช้สองปุ่มเหมือนกัน ซึ่งนั่นถูกต้องแล้วครับ คนไทยเรามาเปลี่ยนกันเอง
ผลที่ได้คือ เสียอักขระทางภาษาไปสองตัว

ทีนี้พอมาใช้ Mac แล้วก็อยากกดปุ่มเดียวทันใจเหมือน Windows มันก็มี Plug in ทำได้ครับ ปุ่มเดียวกันเลย
แต่เรามาดูอีกวิธีดีกว่าที่ไม่ต้องลงอะไรเพิ่มเลย นั่นคือ Caps lock ครับ(มันช่วยท่านได้จริงๆนะ)

วิธีการ ก็ง่ายๆ อันดับแรกเราต้องเปลี่ยนเป็นภาษาไทยโดยการกด Command+Space bar ตามปกติครับ
แล้วก็พิมพ์ตามสบาย พออยากได้ภาษาอังกฤษมา กด Caps lock ครับ เท่านี้เลย ภาษาอังกฤษมาดังใจนึก
แล้วถ้าอยากให้เป็นภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ ก็กด Shift ไว้ขณะพิมพ์ครับ จะให้กลับเป็นภาษาไทยให้กด
Caps lock ออกซะ เท่านี้เราก็เปลี่ยนภาษาได้ดังใจนึกแล้ว

พิมพ์ให้สนุก อย่าลืม Caps lock ครับ

ปล.สำหรับบางโปรแกรมที่มีการ Lock ภาษาอังกฤษไว้เพื่อเป็น Short cut ของโปรแกรมนั้นๆ ยังจำเป็นต้องกด
Command+Space bar เหมือนปกตินะครับ เป็นข้อยกเว้นครับ

มือใหม่ต้องเจอ : เสียงหลอนๆ ตอนคลิกๆ

กำลังทำอะไรเพลินๆ อยู่ดีๆมีเสียงคนพูดมาจากในคอม ไม่ว่าจะคลิกอะไร กดตรงไหนมันพูดตามหมด

เอาล่ะสิ หลอนแล้วมั๊ยล่ะ มีวิญญาณสิงใน Mac สุดรักรึเปล่าเนี่ย(เข้ากะ Halloween ดีแฮะตอนนี้)

ใจเย็นครับ อย่าพึ่งหลอน คุมสติไว้ก่อนทุกท่าน มันเป็นแค่ Features ที่มีไว้สำหรับช่วยผุ้ที่มีปัญหาทางสายตาครับ
ชื่อว่า Voice over 

โดยเมื่อไปเปิด Voice over เอาไว้ เวลาเราไปคลิกอะไร แล้วมันก็จะมีเสียงออกมาให้ได้ยินตามที่เรากดไป
อาจจะเป็นชื่อ Folder หรือ File ต่างๆ ไปจนถึงโปรแกรมกันเลยทีเดียว 

Voice over มี shortcut ที่ง่ายต่อการกดพลาดครับ นั่นคือ Command+F5 เลยทำให้มือใหม่หลายคนเลย
เปิดโดยไม่ตั้งใจ เวลาปิดเราสามารถกด Command+F5 ได้เลย หรือจะเข้าไปที่ System preferences
แล้วไปที่ Universal access เลือก Seeing แล้วก็สั่งปิดครับ 

แนะนำว่าให้ไปดูในส่วนของ Universal access กันหน่อยก็ดีครับ เอาไว้เป็นตัวช่วยเวลาคนอื่นมาใช้คอมเราครับ
โดยเฉพาะผู้ที่ร่างกายทุพพลภาพครับ (ดีใจที่ Apple ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ครับ)

วิธีจัดการกับการเปิดหลายหน้าต่าง

วิธีจัดการกับการเปิดหลายหน้าต่าง

วิธีช่วยจัดการให้เราทำงานได้สะดวกขึ้นเวลาเราเปิดหน้าต่างโปรแกรมหลาย ๆ อันซ้อนกัน

1.ใช้ Exposé

epose-icon_2.jpg
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ การใช้งาน Exposé เบื้องต้น ครับ

2.ใช้ Spaces

spaces-icon_2.jpg
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ การใช้งาน Spaces เบื้องต้น ครับ

3.กด Command + Tab (⌘+Tab)

cmd-tab_0.jpg

ลองกดดูครับ จะเป็นการบอกเราว่าตอนนี้เราเปิดโปรแกรมไหนอยู่บ้าง และให้เราเลือกถ้าเราต้องการจะสลับไปใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ (โดยการกด Tab ไล่ไปเรื่อย ๆ หรือว่าใช้เมาส์คลิ๊กโปรแกรมที่ต้องการได้เลย)

4.วางแผนในการทำงานล่วงหน้า - - เปิดเฉพาะที่จำเป็นต้องใช้

ตรงนี้ช่วยท่านได้ครับ =)

เวลาทำงานก็เปิดเฉพาะ application ที่จำเป็นเท่านั้น นอกจากจะทำให้เครื่องมีทรัพยากรสำหรับทำงานมากขึ้นแล้ว เรายังจะมีสมาธิในการทำงานมากขึ้นไปด้วย = งานเสร็จเร็วขึ้น และมีเวลามากขึ้นในชีวิตครับ ยิ้มปากกว้าง

วิธีย้าย Menu bar icon

หลายๆคนคงไม่ค่อยพอใจกับการเรียงตัวของ Menu bar icon ไม่น้อย

แล้วก็ไม่รู้จะย้ายมันยังไง ผมไปเจอวิธีมาแล้วครับ
แค่เพียงกด command ค้างไว้ก่อน แล้วไปคลิกที่ Menu bar icon ที่จะย้าย
แล้วลากเลยครับ อยากเอาไปวางไว้ไหนก็ตามสบายเลย ตัวอย่าง
นี่คือตอนก่อนย้ายของผมครับ

แล้วอันนี้หลังย้ายครับ

การย้ายนี้ไม่ครอบคลุมไปถึงโปรแกรมที่ไม่ใช่ของ osx เองนะครับ
ผมลองเลื่อนพวก adium หรือตัวอื่นๆแต่มันไม่เป็นผลครับ

Credit : คุณ Iron_monk จาก Freemac.net ครับ